สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งครับ กับ Home On Travel วันนี้พบได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ “ วังเวียง ” ประเทศลาว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เที่ยวเมืองลาวเลยก็ว่าได้ ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง จะมีที่เที่ยวอะไร หรือฝนจะตกไหมในหน้าฝนนี้ แต่พอได้ไปแล้วบอกเลยครับ รู้สึกชิล รู้สึกสนุก ฝนตกก็สนุกเพราะบางกิจกรรมยังไงเราก็เปียกอยู่แล้ว และถ้าคนที่ชอบทำกิจกรรมนั่นนี่ด้วยนะ ถูกใจแน่ๆ เพราะมีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก แต่ถ้าใครไม่ชอบกิจกรรม มานั่งกินลมชมวิวชิลๆก็ได้เช่นกัน เพราะบรรยากาศที่นี่คือดีมากๆเลยครับ ว่าแล้วไปเก็บกระเป๋าแล้วตามไปเที่ยวกันดีกว่าคร้าบบบ
อยากดูเนื้อหาส่วนไหน คลิกได้เลยคร้าบ หรือจะอ่านทั้งหมดก็จะดีใจมากๆเลย ^^
การเดินทางครั้งนี้ไปด้วยเครื่องบิน แล้วไปต่อรถ เพราะวังเวียงเคยมีสนามบินแต่ปิดไปแล้ว ดังนั้นเราเลยต้องลงที่เวียงจันทน์ก่อนครับ โดยบินตรงจาก สุวรรณภูมิ->เวียงจันทน์ ด้วยสายการบิน Bangkok Airways Asia’s Boutique Airline ว่าแล้วตามญาญ่ามาเช็คอินกันเลยค่ะ 5555
ใครกำลังหาตั๋วเชิญที่นี่เลยครับ https://www.traveloka.com/th-th/flight/fulltwosearch?ap=BKKA.VTE&sc=ECONOMY
แต่บินกับ Bangkok Airways เค้าจะมีบริการ Lounge ให้ใช้บริการด้วยครับ ซึ่งจะอยู่บริเวณหน้า Gate D7 ครับ
เมื่อเดินเข้ามาแล้ว สามารถยื่น Passport และบัตรโดยสารให้พนักงานเพื่อใช้บริการได้เลยครับ เค้าจะให้บัตรเพื่อใช้บริการคอมพิวเตอร์มาด้วยครับ เผื่อใครต้องใช้คอมพิวเตอร์
บรรยากาศด้านในก็จะมีที่นั่งให้เลือกจับจองอยู่เยอะพอสมควรครับ เลือกที่นั่งได้เลย
ส่วนเรื่องของว่างและเครื่องดื่มมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งน้ำผลไม้ กาแฟ
ส่วนของว่างมีทั้งข้าวแต๋น พาย แซนด์วิช และที่ขาดไม่ได้คือข้าวต้มมัด
น่ากินไปหมด ขอหยิบมาชิมอย่างละนิด อย่างละหน่อยแล้วกันนะ
ส่วนที่ดีงามคือกล้วย ไม่ว่าจะข้าวต้มมัดไส้กล้วย หรือ พายไส้กล้วย คือดีงามมากๆ ที่ดึงดูดน่าจะเป็นกล้วยสีแดงด้านใน ไม่รู้ทำไมที่ใส่กับอะไรก็อร่อย จริงๆนะคอนเฟิร์มเลยว่ากล้วยอร่อย 5555
จากที่บอกไปตอนแรกว่าถ้าอยากใช้คอมพิวเตอร์ก็สามารถเอารหัสมาใช้ได้เลยตรงนี้
ส่วนใครอยากจะอ่านหนังสือรอก็มีหนังสือพิมพ์ นิตยสารให้อ่านครับ
นั่งแปปเดียวถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว ไปขึ้นเครื่องกันครับ เมื่อเครื่องขึ้นได้ซักพัก แอร์ก็มาแจกอาหารต่อแล้วครับ
อาหารรอบนี้เป็นผัดหมี่กุ้ง รสชาติดีครับ ผัดมาได้หอมกลมกล่อมดี
ส่วนที่นั่งถือว่ากำลังดี ไม่เล็กเกินไป มีที่ให้เหยียดขา ยืดขาได้อยู่ครับ ที่นั่งเป็นแบบฝั่งละ 3 คนซ้ายขวาครับ
หลังจากขึ้นได้ไม่นาน เราก็จะถึงเวียงจันทน์กันแล้วครับ ใช้เวลาบินแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นเอง
ถึงเวียงจันทร์เป็นที่เรียบร้อย ได้รับความสะดวกและปลอดภัยโดยสายการบิน Bangkok Airways
ถึงสนามบินเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ที่เวียงจันทน์กำลังปรับปรุงสนามบินใหม่ให้ใหญ่และสวยงามขึ้น ตื่นเต้นแล้ว ไปวังเวียงกันต่อเลยยยย
ส่วนในทริปครั้งนี้เราพักกันที่โรงแรม Amari Vang Vieng ซึ่งเป็นโรงแรมเปิดใหม่ที่ วังเวียง ในเครือของ Amari ซึ่งก็คนไทยก็คงจะคุ้นเคยชื่อนี้กันดี เพราะเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงในไทย และครั้งนี้ก็ใช้บริการให้รถจากโรงแรมมารับเลยครับ เพราะไม่งั้นจะต้องต่อรถหลายต่อ ทางโรงแรมส่งคนขับรถมาถือป้ายรอเราที่ทางออกเลยครับ
หากใครที่กำลังมองหาโรงแรมที่วังเวียง ลองค้นหาดูได้ที่ Traveloka จากลิงค์นี้เลยครับ
เป็นรถตู้นั่งได้ประมาณ 9 ที่นั่งครับ ถ้าจะนั่งแบบสบายหน่อยก็ 7 ที่นั่งครับ ถือว่าสะดวกมากที่ไม่ต้องไปต่อรถที่สถานีขนส่งสายเหนือด้วยตัวเอง ยิ่งมาหลายคนยิ่งคุ้ม
การเดินทางจากเวียงจันทน์ไปยังวังเวียง ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครับขับผ่านเมืองผ่านเขาคดเคี้ยวพอสมควรเลยครับ
น้องคนขับรถพูดไทยได้ ชวนคุยแนะนำที่เที่ยวต่างๆให้เรา คุยไปคุยมาจนเราหลับ 5555 แล้วเราก็มาถึงยังโรงแรมอมารี วังเวียง ด้วยความนุ่มนวล
บรรยากาศด้านในถูกตกแต่งมาอย่างลงตัว โดยใช้วัสดุที่เป็นไม้มาประกอบกับโครงสร้างที่เป็นปูน ทำให้ดูใกล้ชิดธรรมชาติมากๆครับ แค่นั้นยังไม่พอ ประตูกระจกด้านหลังเป็นกระจกใสมองเห็นวิวภูเขาได้เลยครับ ซึ่งเป็นจุดที่ชมวิวสวยมากอันดับต้นๆของวังเวียงเลยก็ว่าได้ แค่เดินเข้ามาก็รู้สึกสดชื่นแล้วครับ
พนักงานต้อนรับพร้อมให้บริการอยู่ตลอด ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยรู้เรื่องเพราะคนไทยมาเที่ยวกันเยอะ และภาษาเราก็ใกล้ๆกัน ไม่ยากในการสื่อสารครับ
ระหว่างกำลังเช็คอิน พนักงานถือ Welcome Drink มาเสริฟให้ แต่แก้วที่นี่ใช้แก้วที่ทำจากไม้ไผ่ ผมชอบแนวคิดนี้มากเลยครับ ด้านในเป็นน้ำกระเจี๊ยบ แต่พอเราได้จิบมันได้กลิ่นของไม้ไผ่ไปด้วย คนไทยก็น่าจะชอบ ถ้าต่างชาตินี่น่าจะยิ่งชอบความใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้ครับ
แวะไปเก็บของที่ห้องพักกันครับ ด้านในห้องใช้การตกแต่งเป็นผสมเนื้อไม้ ทั้งไม่สีอ่อนไม้สีเข้ม ลงตัวกันมากครับ รู้สึกสบายตา
มีผลไม้ต้อนรับจานใหญ่วางไว้บนโต๊ะด้วยครับ
เดินมาในส่วนของห้องน้ำ จะแยกโซนแห้งและโซนเปียกชัดเจน มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่หากต้องการแช่น้ำผ่อนคลาย และที่สำคัญห้องน้ำเป็นกระจกนะคร้าบ มองทะลุห้องนอนทะลุไปดูวิวระเบียงได้เลย 55555 (แต่ไม่ต้องห่วงเค้ามีม่านปิดนะคร้าบถ้าเขินอาย อิอิ)
ในส่วนของเตียงนอนนั้น มีน้องช้างอยู่สองตัวด้วยน้าาา น่าร้ากกกก
ส่วนวิวระเบียงนั้น ผ่างงงง เปิดม่านมาก็เจอภูเขาลูกใหญ่อยู่ตรงหน้า ฟินเวอร์ วิวอยู่ปลายเตียงนอนเลย
จะนั่งจิบกาแฟ หรือนั่งกินข้าวอยู่ที่ระเบียงก็จะฟินประมาณนึงเลยทีเดียว เพราะวิวพาโนราม่าเป็นภูเขาแห่งวังเวียงที่สุดจะอลังการขนาดนี้
ห้อง Type นี้จะมีอยู่ 3 ห้องในโรงแรมนะครับ เป็นห้องตรงกลาง ห้องใหญ่ และวิวสวยสุดๆแบบนี้ เวลาจองต้องเลือกห้อง Deluxe King River View นะครับ แต่ถ้าห้องเล็กลงมาหน่อยก็จะเป็นห้อง Superior River View ก็จะได้มุมนี้เหมือนกันครับ แต่จะไม่มีเก้าอี้นั่งและระเบียงจะเล็กกว่า
ดูรีวิวโรงแรม Amari Vang Vieng ฉบับเต็มได้ที่ … รีวิว อมารีวังเวียง [Review] Amari Vang Vieng
หรือจองโรงแรมอื่นๆในวังเวียงผ่าน Traveloka ได้ที่
หลังจากนี้ก็เดินไปหาทัวร์สำหรับวันพรุ่งนี้กันครับ โรงแรมอมารี อยู่ใจกลางเมืองวังเวียงเลยครับ สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกมากๆ ร้านขายทัวร์ก็เดินออกจากโรงแรมไปทางซ้ายก็เจอแล้ว รอบนี้ใช้บริการทัวร์น้ำทิพย์ครับ โดยเลือกทัวร์ 1 Day Trip (ถ้ำน้ำ,ถ้ำช้าง,คายัก,บลูลากูน,Zip Line ราคา 200,000 กีบ ประมาณ 800 บาทต่อคน)
และไปจองตั๋วและเวลาขึ้นบอลลูนในวันถัดไป ราคา 90 USD ต่อคน ก็ประมาณคนละ 3,000 บาทครับ โดยผมจองไว้รอบเช้าสุดรอบ 6 โมงเช้าครับ ซึ่งจะจองกับร้านหรือโรงแรมก็ได้นะครับถ้าร้านก็ที่นี่เลย
ทุกอย่างเรียบร้อยก็ไปเดินเล่นริมแม่น้ำซอง จะมีสะพานไม้ข้ามแม่น้ำ เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ เพราะวิวด้านหลังจะเป็นวิวภูเขา เดินถ่ายรูปเล่นหรือจะเดินชิลๆก็ได้ครับ
ข้ามสะพานไปอีกฝั่งก็จะเจอกับร้านอาหารริมน้ำ ซึ่งจะมีทั้งแบบเป็นหลังๆ และที่นั่งยื่นลงไปตรงน้ำ สามารถเลือกนั่ง เลือกอาหารได้ตามชอบเลยครับ
มีอาหารให้เลือกทั้งปิ้งย่าง ส้มตำ กินอาหารโลคอล นั่งแกว่งเท้าในน้ำ กินลมชมวิว
หรือถ้าชอบนั่งบาร์ชิลๆริมน้ำ ก็มีร้านฝั่งนี้ด้วยนะครับ คือวิวมันชิลมากจริงๆ
หลังจากนั้นก็ไปเดิน Night Market ถนนคนเดิน V.Town
ด้านในจะมีร้านขายของที่เป็นของที่ระลึก เสื้อผ้า กระเป๋า เป็นผ้าลาว ลายมัดย้อม หรือลายแบบปักๆ
หรือจะแวะชิมร้านหมูกระทะเมืองลาวก็ได้นะครับ อปป้ามานั่งกันเยอะเลย จะแวะมาชิม หรือมาดูอปป้าแถวร้านนี้ก็ได้นะครับ อิอิ
เดินจนเหนื่อย แวะกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เพราะทัวร์ 1 Day Trip บริษัททัวร์จะมารับเราที่โรงแรมตอนเช้าประมาณ 8:30 เลยครับ
ตื่นเช้ามาเตรียมตัวออกจากห้อง เห็นวิวแล้วขอถ่ายรูปหน่อยแล้วกัน มันฟินจริงๆนะวิวแบบนี้
นั่งรถสองแถวไปยังจุดท่องเที่ยว โดยจะเริ่มทริปที่ถ้ำน้ำ และถ้ำช้าง โดยเราจะต้องข้ามสะพานนี้ไปครับ
พอขึ้นสะพานก็แวะถ่ายรูปบนสะพานกันซักหน่อยนึง ด้านซ้ายมือเป็นรถที่เรานั่งมาครับ
ข้ามสะพานมาแล้วต้องเดินป่ากันนิดนึงครับ ทางเดินก็จะเป็นหลุมเป็นบ่อ มีแอ่งน้ำหลังฝนตก
เดินมาซักระยะไกด์จะให้เราแวะพักถ่ายรูปครับ เค้าบอกเลย อ้าว แวะถ่ายรูปก่อน ถ่ายก็ถ่ายวิวไม่ได้สวยเล้ยจริงจริ๊ง เสียงสูงกว่าเอเวอเรตต์ 55555 ถือว่าวิวดีครับต้องถ่ายนะเพราะขาออกมาตัวจะเปียกๆแล้วจะไม่สวย
ถ่ายรูปเสร็จเราก็เดินกันต่อครับ เดินตามคันนาไปเรื่อยๆ
เดินต่อไปเรื่อยๆ วันนึงชั้นเดินเข้าป่าาาา
เมื่อเดินเรื่อยๆรวมๆทางแล้วน่าจะกิโลกว่าๆครับ จะเจอป้ายบอกว่าเราถึงแล้วนะ
หลังจากเดินชมป่า ลุยโคลนกันมาซักระยะ ก็มานั่งพักเหนื่อยกันก่อน นี่เพิ่งจะเริ่มวันเองนะเหนื่อยแล้วหรอ?
ถ้าใครจะซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยน หรือจะฝากของก็ได้ด้วยครับ
ทางเข้าถ้ำครับ พร้อมจะเข้าไปลอยห่วงยางแล้วหรือยังครับ ไปกันเลยยยยย
หลังจากได้รับไฟฉายที่หัวแล้ว ก็ตามไกด์ไปหยิบห่วงยางแล้วเข้าถ้ำได้เลยครับ
ต่อแถวกันให้เป็นระเบียบแล้วดึงเชือกลอยตามน้ำไปได้เลยยย ส่วนของต้องใส่ถุงกันน้ำและมัดดีๆนะครับ ไม่งั้นมันจะเข้าไปได้ ถ้าซื้อเองได้ก็ดี เพราะถ้าใช้ของทัวร์เนี่ยเป็นถุงกันน้ำออกอย่างดีเลยครับ เข้าไปแล้วออกมาแบบว่า เปิดถุงออกมาเทน้ำได้เป็นแก้ว T_T
ใกล้ลอดเข้าไปในถ้ำแล้วฮะ
ส่วนในถ้ำนั้น มืดมาก ถ้าไม่มีไฟฉายก็มองอะไรไม่เห็น ภาพที่ได้ก็… เบลอและมืดมากๆ แต่ไฟฉายที่หัวช่วยส่องก็มองเห็นหินย้อย อยู่เหมือนกัน สนุกๆครับ เข้าไปประมาณ 10-20 นาที จำไม่ได้ว่านานแค่ไหน เพราะลอยห่วงยาง แล้วดึงเชือกตามทางไป ซ้ายทีขวาทีก็สนุกดีครับ
หลังจากสำรวจถ้ำเรียบร้อย ก็แวะพักทานอาหารกลางวัน ไกด์ก็จะเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จะมี Vegetarian Fried Rice หรือเรียกง่ายๆข้าวผัดไม่มีเนื้อใดๆปน 5555 และก็มีไก่บาบีคิว เสริฟคู่กับขนมปังก้อนโตที่ผ่านการปิ้งมา แต่น่าจะนานแล้ว (คนลาวเรียกข้าวจี่ ส่วนเพื่อนๆในทริปเรียกว่า ขนมปัง Waterproof เพราะว่าด้านนอกมันแข็งๆเหนียวๆเคี้ยวแล้วเมื่อย ต้องควักเอาเนื้อนุ่มๆด้านในมากินกัน ก็เลยพูดกันว่าถ้าเอาของใส่ไว้ในนี้น่าจะไม่เปียก 5555)
กินกันเสร็จเรียบร้อยก็มาไหว้พระที่ถ้ำช้างกันครับ จริงๆเราเดินผ่านกันมาแล้วตอนแรก แต่มาไหว้ตอนขากลับครับ
เดินเข้ามาหน้าถ้ำช้าง จะเป็นถ้ำเล็กๆอยู่ข้างล่างภูเขาครับ
กราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล ให้เราเที่ยวได้อย่างสนุก ส่วนใครจะทำนายดวง มีเซียมซีด้วยนะครับ แต่เป็นกลอนภาษาลาว ต้องให้ไกด์อ่านและแปลให้อีกที 555
หินรูปช้างตัวน้อยๆ ที่ลอยอยู่บนฟ้าาา
แล้วเราก็จะเดินกลับทางเดิมจากที่เรามา เพื่อกลับไปขึ้นรถ และไปเล่นกิจกรรมถัดไปของเราก็คือ พายคายัค พอถึงจุดปล่อยตัวไกด์ก็จะให้ใส่ชูชีพ สอนการใช้ไม้พาย และให้จับคู่เพื่อเตรียมออกเดินทาง ใครว่ายน้ำไม่เป็นหรือมากัน 3 คน ก็สามารถแบ่งไปกับไกด์ได้เลยนะครับ
แล้วก็ออกเดินทางสู่โลกกว้าง โดยมีระยะทางประมาณ 8 กิโลครับ พายชิลๆครับ O_O
พอพายมาได้ซักระยะไกด์ก็จะพาเรามาพักผ่อน ที่ร้านริมน้ำ เพื่อพักกล้ามแขนของเรา และพักเรือ (เรือเหนื่อยหรอ 555)
ซื้อเครื่องดื่ม กินลมชมวิว นั่งเล่นซักระยะก่อนจะออกเดินทางต่อ
ออกเดินทางกันต่อครับ พายไปเรื่อยๆ วิวสองข้างทางสวยมากๆ เป็นป่า เป็นภูเขา คือพายเรื่อยๆเมื่อยแขนนะ แต่บรรยากาศชิลมากจริงๆ
บางช่วงบางตอนไกด์ก็จะบอกให้เราพายหลบข้างซ้ายบ้าง หรือข้างขวาบ้าง เพราะบางที่มีต้นไม้อยู่ใต้น้ำ หรือบางที่ก็น้ำแรงครับ ถ้าน้ำแรงลงทีนึงก็ เปียกกกก
เมื่อพายถึงจุดหมาย เราก็จะนั่งรถเพื่อไปบลูลากูนกันต่อ วิวสองข้างทางที่ต้องเดินทางไปสวยมากๆครับ
ใครซื้อโปรแกรม Zip line at Blue Lagoon ก็จะได้ไปโหนสลิงก่อนครับ ใครไม่ได้ซื้อก็ไปเล่นน้ำก่อนได้เลย จริงๆแนะนำให้เล่นนะครับ เพราะสนุกดีนะ และอีกอย่าง ถ้าไม่เล่นก็จะรอนานเพราะต้องกลับพร้อมกัน อันนี้แล้วแต่ความชอบครับ ถ้าอยากเล่นน้ำนานจะไม่เล่น Zip Line ก็ได้ครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปแต่งตัวให้พร้อมก่อนไปเล่นครับ
เดินทางตามไกด์ไปครับ เพื่อไปขึ้นต้นไม้ โหนสลิง
วิวด้านบนเขียวขจี เห็นมุมสูง มีทางน้ำไหล วิวสวยเลยครับ ต้องขึ้นมาเห็นเองนะ เขียวขจีมากๆ
การเล่นด้านบนจะมีไกด์อีกกลุ่มคอยดูแลเราครับ ตามเราไปทุกฐาน เพื่อพาเราไปเล่นตามฐานต่างๆ
มาเที่ยวหน้าฝนแล้วเล่นได้มั้ย เล่นได้ครับ เปียกๆหน่อยสนุกไปอีกแบบ พอลงจากที่นึง คราวนี้เดินไปต่ออีกที่นึง
แล้วก็เดินขึ้นเขาไปอีกหน่อย ไม่สูงเท่าไรครับ แปปเดียว
แล้วก็เล่นกันต่อเลย วิ้ววววว เอ้าขอเสียงหน่อยย กรี๊ดดดด
มุมสูงเห็นบลูลากูนทั้งหมดเลยครับ วิวด้านบนสวยดีครับ นี่ขนาดฝนตกมองได้ไม่ไกลนะ ถ้าฝนไม่ตกน่าจะมองไปได้ไกลมากๆ
ฐานทั้งหมดมีประมาณ 12 ฐานครับ เป็นการโหนสลิงไปยังต้นไม้ต่างๆ และฐานสุดท้ายคือการปล่อยตัวลงสู่พื้นเสียวสุดก็ฐานนี้แหละ ใช้ชีวิตแบบไร้น้ำหนัก(รู้สึกผอมมม) แล้วเราก็คืนสายรัด และใส่ชูชีพ ไปเล่นน้ำบลูลากูนกันต่อครับ
บลูลากูนจะมีที่ให้กระโดดน้ำ 2 ชั้นครับ อยากสนุกชั้นบนเลยครับ สนุกสนาน ใครโดดท่าสวยๆจะได้รับการปรบมือจากเหล่านักท่องเที่ยว ทั้งฝรั่ง ทั้งอปป้า
แต่ถ้าใครขึ้นไปแล้วไม่กล้าโดด ไม่ต้องห่วงครับ ทุกคนพร้อมให้กำลังใจ เชียร์กันจนกว่าคุณจะโดดเลยครับ บรรยากาศมันสนุกมาก
ใครไม่กระโดดน้ำ อยากจะโหนเชือกโรยตัวลงน้ำก็เลือกเล่นได้ครับ จับแน่นๆแล้วไปปล่อยกลางน้ำนะครับ กลัวจะโดนขอบหิน
อีกฝั่งก็เป็นที่ให้ว่ายน้ำเล่นได้ คนจะไม่ค่อยมาว่ายแถวนี้ อยากฝึกว่ายน้ำเพื่อไปแข่งโอลิมปิกต้องมาฝั่งนี้เลยครับ
ส่วนใครเล่นเสร็จแล้วหิว อยากจะหาอะไรทานก็มีให้เลือกซื้อได้ครับ หรือจะหาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนก็มีขายครับ
เมื่อถึงเวลาก็ให้มารอที่รถเพื่อกลับที่พักกันครับ ผ่านวิวสวยๆสองข้างทาง และสะพานไม้ เพื่อกลับเข้าสู่เมือง รถจะไปส่งให้ที่โรงแรมเหมือนเดิม
วันนี้อาบน้ำ ทานข้าว แล้วก็นั่งพักซักแปปก่อนนอน วันนี้ต้องรีบนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปขึ้นบอลลูนนนนน
รถมารับแต่เช้าตอน 5:40 น. เพราะจองรอบเช้าสุดรอบ 6:00 เอาไว้ พอมาถึงจุดขึ้นบอลลูนเราก็จะได้เห็นกระบวนการตั้งแต่เริ่มเป่าบอลลูนกันเลยทีเดียว
เริ่มเป่าลมร้อนเข้าไปแล้ว จะลอยได้แล้ว จะได้ขึ้นแล้วคร้าบ
เมื่อเข้ามาในกระเช้าบอลลูนแล้ว สิ่งแรกที่คิดคือ ร้อนหัวจัง เสียงเครื่องฉีดแก๊สดังพอสมควร แอบตกใจ แล้วก็กังวลว่าหัวจะไหม้ไหมไฟแรงเหลือเกินพี่ชายยย และไม่มีสายรัดตัวหรือตัวล๊อกอะไรเซฟตี้เลย มีแค่มือจับข้างกระเช้าเท่านั้น 555 แต่ปลอดภัยครับไม่ต้องห่วง เพราะเค้าล๊อกประตูแน่นหนา และนักบินที่มาขับบอลลูนให้เราเค้าต้องมี License ด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะขับก็ขับได้เลย
วิวมุมสูงจากบอลลูนครับ เช้าๆมีหมอก และต้องบอกว่าฝนเพิ่งหยุดก่อนที่จะมาขึ้นด้วยครับ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้ขึ้นแล้ว เพราะถ้าเราไม่ได้ขึ้นเค้าจะเลื่อนให้เราเป็นรอบเย็นครับ
อยู่มุมสูงเราก็จะฟินๆหน่อย วิวดีงามมากๆครับ
ลอยขึ้นมาเหนือเมฆครับ เราเป็นคนเหนือเมฆนะคร้าบ 5555 แค่หน้าฝนเมฆมันต่ำ แต่มันฟินดีนะครับ มีบางช่วงที่อยู่ในเมฆเลยด้วย
ได้เห็นโค้งแม่น้ำซองที่เมื่อวานได้พายเรือคายัค มุมบนสวยมากเลยครับ
ขึ้นบอลลูนจะขึ้นประมาณ 6-7 คนต่อรอบ แล้วก็จะอยู่ด้านบนประมาณ 20-40 นาที อันนี้แล้วแต่สภาพอากาศครับ แต่บอกเลยว่ามาแล้วต้องลอง เพราะเท่าที่ศึกษามาที่นี่เหมือนจะถูกกว่าขึ้นบอลลูนที่อื่นๆนะครับ ถ้าจะอยากไปขึ้นที่อื่น ที่นี่ก็น่าลองไม่แพ้กันครับ
เมื่อลงมาแล้วเราก็กลับไปกินอาหารเช้าที่โรงแรมก่อนจะไปที่จะเดินทางไปที่อื่นกันต่อ
เมื่ออิ่มท้องเราก็นอน ไม่ใช่ !!! เราก็ไปเดินทางกันต่อ วันนี้เช่ารถมอเตอร์ไซด์เที่ยวกันครับ ราคาวันละ 40,000 กีบ โดยจะเช่าได้ตั้งแต่ 8:00 – 20:00 ครับ ซึ่งไม่ว่าจะเช่าตอนเช้า สาย บ่าย เย็น ก็ราคาเท่าเดิมครับ ไม่ลดราคาใดๆ T_T
และเนื่องด้วยฟ้าฝนไม่เป็นใจ วันนี้เราเลยต้องรอเวลาให้ฝนหยุดก่อน ถึงจะออกไปไหนมาไหนได้ ไม่เป็นไร เรารอได้ เลยใช้เวลานั้น ถ่ายรูปเล่นในโรงแรมซักนิดซักหน่อย
พอฝนหยุดเราก็หาที่ขี่มอเตอไซด์ชมเมืองครับ แล้วก็ไปเจอกับคาเฟ่ดูน่านั่ง เลยแวะเข้าไปชิมซักหน่อย
การตกแต่งร้านก็แนวดิบๆสไตล์ Loft มีที่นั่งเยอะพอสมควร สามารถมานั่งทำงานตอนกลางวันก็ได้ด้วยนะ
ร้านนี้ขายพิซซ่าครับ ราคาถาดละ 49,000 กีบ กินกันเป็นหมื่นแบบนี้แหละครับ 555 เป็นแป้งบางกรอบ แป้งหอมดีครับ แต่หน้าที่สั่งมาตัวซอสพิซซ่าจืดไปหน่อย แต่ชีสอบมาหอมดีครับ ส่วนกาแฟรสชาติดีครับ อร่อยกลมกล่อม ส่วนช๊อคโกแลตเค้กที่สั่งมาผมมองว่าเมืองไทยอร่อยกว่าครับ มาร้านนี้มานั่งชิลจิบกาแฟ จิบเบียร์อะไรแบบนั้น แต่ยังไม่ได้ลองของคาวอย่างอื่นครับ แค่หักคะแนนเค้กรสชาติธรรมดาไปหน่อย
แวะขี่ไปทางบลูลากูน ซึ่งหลายคนที่เคยมาจะบอกว่าทางตรงนี้เป็นลูกรังมาก่อน แต่ตอนนี้ลาดยางแล้วนะครับ ขี่ง่ายขึ้น แต่จะเป็นการลาดยางเหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา ไม่ใช่ราดยางเรียบๆเหมือนในกรุงเทพนะครับ แต่ดูแล้วดีกว่าแต่ก่อนมากๆ ไม่งั้นคงหัวแดงกลับโรงแรมแน่ๆ 5555
ต่อไปเราจะเดินทางไปที่ถ้ำจังกันครับ เปิด Google Map แล้วขี่ไปได้เลย ไปได้ไม่ยากครับ แต่ที่ยากหน่อยคือหลุมดวงจันทร์นี่แหละ 555
การจะเข้ามาที่นี่ต้องผ่าน พื้นที่ของวังเวียง รีสอร์ท เลยจะมีการเก็บค่าผ่านทางคนละ 2,000 กีบ และรถ 3,000 กีบ
พอเข้ามาตรงเข้ามาตามทางก็จะเจอสะพานส้มนี่เลยครับ
ยืนแวะถ่ายรูปได้ตามสะดวกเลยครับ หาจังหวะถ่ายเอาครับ คนเดินไปมาเยอะแยะเลย
บรรยากาศดี วิวสวย พอมีฝรั่งมายืนถ่ายรูปอยู่รู้สึกเหมือนเที่ยวยุโรปเลยครับ 5555 ดูอินเตอร์ขึ้นมาเลยทีเดียว
ถ้าคนเยอะนัก ลองนั่งพักถ่ายรูปรอก็ได้ครับ หามุมไม่มีคนไม่ได้ นั่งลงเลยครับ แล้วให้แบบเรานั่งบังคน เราก็ย่อตัวลงมาถ่ายนิดนึง ก็จะได้ภาพสวยๆอีกมุมครับ ไปลองกันดู
เดินข้ามฝั่งมาถ้ำจังกันต่อครับ ข้างทางก็มีอาหารมีขนมขายครับ เดินมาเรื่อยๆจะเจอทางเข้าถ้ำจังครับ
ซื้อบัตรผ่านประตูแล้วเดินขึ้นไปตามบันไดเพื่อไปเข้าถ้ำได้เลยครับ รอบนี้ไม่ได้เข้าถ้ำครับ ตอนไปเริ่มเย็นแล้วแถมฝนจะตกอีกด้วยเลยต้องรีบถ่ายรูปและรีบกลับ
แต่ก็เดินแวะมาตรงหน้าถ้ำ มีบลูลากูนเล็กๆให้สามารถลงไปเล่นได้นะครับ หรือจะไปถ่ายรูปก็ได้
น้ำใสไหลเย็น ถ้าใครมีเวลาแล้วอยากเล่นน้ำกันก็ลงไปเล่นกันได้เลยครับ มีให้เล่นทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เป็นทางน้ำไหลครับ ดูแล้วก็น่าสนุกดีนะ
เช้าของอีกวัน ซึ่งวันนี้จะกลับบ้านแล้ว ส่วนช่วงเช้าก็มาเดินตลาดเช้าครับ เดินออกมาจากโรงแรมแปปเดียวก็ถึง และเราก็มาเจอร้านขายล๊อตเตอรี่ เอ้ย ไม่ใช่!!! ร้านขายโรตี แซนวิช ใครจะมาลองก็แวะมากันได้ครับเป็นอาหารยามเช้า ส่วนร้านไหนอร่อยนี่บอกยากนะ ดูขนาดป้ายยังเหมือนขนาดนี้ รสชาติคงจะเหมือนกันมั้ง 5555
บรรยากาศตลาดยามเช้า เค้าจะวางขายกันกับพื้นเลยครับ วางเรียงๆกันสองข้างทาง
อยากได้ผักชนิดไหน เลือกได้เลยครับ ส่วนใหญ่ตรงส่วนนี้เป็นตลาดสด สำหรับซื้อไปปรุงอาหาร เพราะจะมีของปรุงสุกก็แค่ โรตี แซนวิชตอนแรก และขนมทอดอีกนิดๆหน่อยๆ
มาเดินสะพานไม้ บรรยากาศยามเช้าก็จะเจอผู้คนสัญจรไปมา
และเราก็จะเห็นเรือหางยาวนำเที่ยว โดยจะล่องไปตามแม่น้ำซอง ซึ่งถ้าใครไม่อยากพายคายัค ก็สามารถเลือกวิธีนั่งเรือหางยาวก็ได้เช่นกันครับ เพราะวิวสวยมากต้องโดน
ในวันนี้ไม่มีแพลนไปไหนครับ เพราะแพลนไว้ว่าจะว่ายน้ำที่โรงแรมกัน ดูวิวภูเขานั่นสิทุกคนนนน สะท้อนกับสระน้ำ สวยเวอร์ ไม่ให้รักวิวนี้ได้ไง
นั่งชิลกับบรรยากาศริมสระน้ำ ว่ายไปดูวิวไป หรือจะนอนบนเตียงดูวิวชิลๆก็ได้เช่นกัน
ต้องไปเก็บของกลับบ้านแล้วหละ เที่ยวกันมาทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ทิ้งท้ายด้วยวิวภูเขาจากห้องพักครับ แล้วพบกันใหม่นะ วังเวียง
และแล้วก็ไม่ทันครับ ฝนตกลงมาแรงมากเหมือนไม่เคยตกมาก่อน ตอนแรกขี่รถกลับ จนต้องหลบบ้านคนก่อนแล้วกลับมาโรงแรม คืนรถอาบน้ำแล้วออกไปเดินเล่นครับ โรงแรมตั้งอยู่ใจกลางเมือง ดังนั้นถ้าในเมืองเดินเล่นได้ครับไม่ต้องใช้รถเลย แล้วก็มาแวะนั่งชิลที่ร้าน หลวงพระบาง เบเกอรี่
เดินเข้ามาในร้านจะเจอขนมเค้ก เจอคุ๊กกี้มากมาย ที่สำคัญ อันใหญ่เท่าหน้าเลยครับแต่ละชิ้น 5555
ร้านนี้ก็มีเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ทั้งผลไม้ หรือแอลกอฮอล์ ร้านกว้างรองรับลูกค้าได้เยอะพอสมควรเลยครับ
วันนี้ลองชิมน้ำมะม่วงปั่น 15,000 กีบ และปีกไก่ทอด ราคา 30,000 กีบ น้ำมะม่วงอร่อยครับ ปั่นมาได้ละมุนดี ส่วนปีกไก่ทอดมาร้อนๆกินแล้วฟิน เข้ากับอากาศเย็นๆหลังฝนตกได้ดีทีเดียว
แล้วก็ไปต่อที่ซากุระบาร์ บาร์ที่มีชื่อเสียงใน วังเวียง ที่ใครมาก็ต้องแวะกันมาที่นี่ เดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึง เราเข้าไปดูกันหน่อยครับ
ด้านในมีโซน indoor outdoor ให้เลือกครับ แล้วแต่คนชอบ ส่วนตรงกลางร้านมีโต๊ะประลองพลังครับ ใครที่มีสกิลด้านการฟ้อนรำ สามารถมาโชว์ความสามารถตรงกลางร้านได้เลยครับ ไปโชว์ให้โลกรู้ว่าคนไทยเก่งการฟ้อนรำ 555
ทริปนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าขาดผู้ใหญ่ใจดีของเรา นั่นก็คือ Amari ที่มอบที่พัก Amari Vang Vieng ห้องสวย วิวดีงาม และ สายการบิน Bangkok Airways ที่ให้เราบินสบายๆจากกรุงเทพสู่เวียงจันทน์ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
และก็ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม มีอะไรเสนอแนะได้ หรือจะคอมเมนต์พูดคุยกันด้านล่างได้เลยครับ ชอบก็แชร์บอกต่อเพื่อนพากันไปเที่ยว วังเวียง กันนะครับ
สามารถเข้าไปพูดคุย ติดตามรีวิวใหม่ๆก่อนใคร หรือจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/homeontravel
สอบถาม พูดคุย...